Buffett Indicator คือค่าที่ใช้วัดว่าตลาดหุ้นถูกหรือแพงสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยดูมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่ง Buffett Indicator สามารถนำไปปรับใช้กับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน
Buffett Indicator ใช้อย่างไร?
Buffett Indicator ดูจากค่าที่มากกว่า 100% หมายถึงมูลค่าตลาดหุ้นใหญกว่าขนาดเศรษฐกิจ และในทางตรงกันข้ามหากน้อยกว่า 100% หมายถึงมูลค่าตลาดหุ้นจะน้อยกว่าขนาดเศรษฐกิจ โดยหากนำค่า Buffett Indicator มาพล็อตเป็นกราฟเพื่อหาค่าเฉลี่ยในระยะยาว (Historical Trend Line) ดังในรูปที่พล็อตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1950 – ปัจจุบัน โดยหากค่าดังกล่าวสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว จะบ่งบอกว่าหุ้นแพงหรือหุ้นถูกตามลำดับ และยิ่งหากดังกล่าวเกินค่า +1 Standard Deviation (SD) จะบ่งบอกว่าตลาดหุ้นแพงมาก และหากต่ำกว่า -1 SD จะถือว่าหุ้นถูกมาก
Buffett Indicator กับผลตอบแทนของตลาดหุ้น
เมื่อนำค่า Buffett Indicator มาพล็อตกราฟกราฟกับผลตอบแทนที่ได้รับจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอีก 10 ปีต่อไป จะเห็นได้ชัดว่าหากเราลงทุนในช่วงที่ค่า Buffett Indicator ต่ำกว่า 100% หรือที่ 1.0 โอกาสที่เราจะได้รับผลตอบแทนเป็นบวกในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีโอกาสสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้นตอนที่ค่า Buffett Indicator สูงกว่า 1.0
จากกราฟ จะเห็นความสัมพันธ์ของค่า Buffett Indicator กับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า ตัวอย่างเช่น
- หากซื้อหุ้นช่วงค่าอยู่ที่ 1.4 >> มีโอกาสที่ผลตอบแทนติดลบหรือผลตอบแทนไม่สูง
- หากซื้อหุ้นช่วงค่าอยู่ที่ 0.6 >> มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว +17% ต่อปี
Buffett Indicator ปรับใช้อย่างไร?
- กรณีที่ค่า Buffett Indicator อยู่ที่ +2 SD ซึ่งบ่งบอกว่ามูลค่าอยู่ในระดับที่แพง หรือ +1 SD ที่ถือว่าค่อนข้างแพง หากซื้อหุ้นในช่วงนี้มีโอกาสได้ผลตอบแทนไม่สูงมากหรือติดลบ
- อีกกรณีหนึ่ง หาก Buffett Indicator อยู่ที่ -1 SD ซึ่งบ่งบอกว่ามูลค่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูก หรือ -2 SD ที่ถือว่าถูก หากซื้อหุ้นในช่วงนี้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม Buffett Indicator เป็นตัวชี้วัดตลาดหุ้นในภาพรวม ในกรณีที่ค่าอยู่ในระดับสูงเกิน +1 SD ซึ่งบ่งบอกว่าตลาดหุ้นค่อนข้างแพง ไม่ได้หมายความว่าในช่วงนั้นไม่ควรซื้อหุ้นเลย เพราะหากมีหุ้นบางตัวที่ราคาอยู่ในระดับเหมาะสม สามารถเลือกซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงได้