ปากกาลดน้ำหนัก กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้รับความนิยมในช่วงที่ผ่านมา จากการเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถช่วยลดน้ำหนัก แม้แต่ Elon Musk ซีอีโอ Tesla และเจ้าของแพลตฟอร์ม X ก็เปิดเผยว่าเคยใช้ผลิตภัณฑ์นี้
เดิมทีนั้น ปากกาหรือยาดังกล่าวออกมาเพื่อรักษาโรคเบาหวานเป็นหลัก แต่มีผลช่วยในการลดน้ำหนักไปในตัวด้วยเพราะมีการออกฤทธิ์ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและลดความอยากอาหาร กลายเป็นที่นิยมและมีความต้องการจากผู้บริโภคปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระแสดังกล่าวส่งผลให้สองบริษัทที่เป็นผู้ผลิตปากกาลดน้ำหนักรายใหญ่จากประเทศสหรัฐฯ ได้แก่ Eli Lilly and Company (LLY) และจากประเทศเดนมาร์ก Novo Nordisk (NOVO) มีมาร์เก็ตแคปปรับขึ้นจนสามารถแซง Tesla (TSLA) และเตรียมขึ้นไปท้าชนกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมาจากกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
รู้จักหุ้นผู้ผลิตปากกาลดน้ำหนัก
ผู้ผลิตปากกาลดน้ำหนักรายใหญ่ที่สุดในปัจจุบันมีอยู่สองบริษัท ได้แก่ Eli Lilly and Company (LLY) และ Novo Nordisk (NOVO) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
LLY เป็นบริษัทยาสัญชาติสหรัฐ ก่อตั้งในปี 1876 โดยในปี 2023 ราคาหุ้น LLY ปรับขึ้นมากกว่า 60% มูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ราว 7.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ตามข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 มี.ค. 2024 ขณะที่ NOVO เป็นบริษัทสัญชาติเดนมาร์ก ก่อตั้งในปี 1923 โดยราคาหุ้นเมื่อปีที่ผ่านมาปรับขึ้น 50% ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 6 แสนล้านดอลลาร์ อยู่ที่อันดับ 11 ของโลก ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสองบริษัทมีอายุมากกว่า 100 ปี มีรากฐานที่ยาวนานทำให้มีสิทธิบัตรยาในมือมากพอที่จะทำให้คู่แข่งเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ยาก
ผลิตภัณฑ์ปากกาเบาหวานและลดน้ำหนักของ LLY มีตัวอย่างเช่น Mounjaro, Zepbound และ Trulicity ทั้งหมดนี้คล้ายกันตรงที่ช่วยรักษาเบาหวานและลดน้ำหนักได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ตัวยา การออกฤทธิ์ และความเหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้ใช้ ภายใต้การควบคุมของแพทย์ โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีการเติบโต 57% ในปี 2023 คิดเป็นสัดส่วน 37% ของรายได้บริษัท
ส่วนผลิตภัณฑ์ของ NOVO มีตัวอย่างเช่น Ozempic, Wegowy, Saxenda และ Victoza ซึ่งมีคุณสมบัติตัวยา และประเภทการใช้แตกต่างกันไป โดยยอดขายกลุ่มนี้เติบโต 42% ในปี 2023 และมีรายได้รวมกันเป็น 93% ของรายได้บริษัท ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ Ozempic, Saxenda และ Victoza ของ NOVO ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยแล้ว
รายได้และแนวโน้มการเติบโต
ตลาดยาลดน้ำหนักเป็นตลาดยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมาก โดยข้อมูลจากโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่ามูลค่าของตลาดนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 16 เท่า ไปอยู่ที่ 1 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030
กระแสความนิยมของขายปากกาลดน้ำหนักช่วยให้รายได้ของ LLY ปรับสูงขึ้น 20% ในปี 2023 ทั้งนี้เป็นเพราะบริษัทมีสัดส่วนยาลดน้ำหนักไม่ถึงครึ่งหนึ่งและยังมียาอื่นอยู่ด้วย เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า และยารักษามะเร็ง
ขณะที่รายได้รวมของ NOVO ปรับขึ้น 31% ในปีที่ผ่านมา เป็นผลจากรายได้หมวดผลิตภัณฑ์เบาหวานและลดน้ำหนักเพิ่มสูงขึ้น 42%
นอกจากนี้ ตลาดยาลดน้ำหนักยังอาจมีผู้เล่นรายอื่นเข้ามาอีกด้วย เนื่องจากบริษัทยารายใหญ่ เช่น Pfizer, Amgen, Roche และ AstraZeneca มีแผนพัฒนายาและเข้าชิงส่วนแบ่งตลาดเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตรายเล็ก เช่น Terns Pharmaceuticals, Viking Therapeutics และ Structure Therapeutics
ปัจจัยที่ต้องพิจาณาสำหรับการลงทุนในหุ้นยา
- สิทธิบัตรยา : ผู้ผลิตจะได้รับสิทธิบัตรผูกขาดในการผลิตยาที่ผ่านการวิจัย โดยมีสิทธิ์การผูกขาดการผลิตและจัดจำหน่ายตัวยาดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 20 ปี แต่หากพ้นช่วงเวลาดังกล่าวแล้วผู้ผลิตรายอื่นสามารถจัดจำหน่ายได้ หมายความว่าผู้พัฒนายามีอำนาจในการตั้งราคา ซึ่งหมายถึงโอกาสสร้างรายได้มหาศาลเข้าสู่บริษัท
- การอนุมัติยา : กระบวนการวิจัยและพัฒนายาต้องใช้เงินทุนสูงและกินเวลาหลายปี แต่หากผ่านกระบวนการทดลองหรือได้รับการอนุมัติให้เริ่มจัดจำหน่าย ยาดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้ผู้ผลิต หรือแม้แต่การเก็งกำไรกับข่าวการอนุมัติหรือทดลองยาก็อาจทำได้ เช่นในกรณีบริษัทวิจัยยาหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ บางบริษัทขาดทุนมาตลอด แต่เมื่อได้ไฟเขียวจากภาครัฐก็อาจพลิกเป็นกำไรได้ และราคาหุ้นก็ดีดขึ้นทันทีเช่นกัน
- สถานการณ์หรือความจำเป็น : แนวโน้มความต้องการหรือกระแสสุขภาพของผู้คนก็มีผลต่อกลุ่มยาด้วย เช่นกรณีของปากกาลดน้ำหนักที่มีดีมานด์สูงโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากผู้คนมีภาวะน้ำหนักเกินจำนวนมาก หรือในช่วงโรคระบาด COVID-19 ผู้ผลิตวัคซีนก็สามารถสร้างรายได้มหาศาลจากการส่งขายไปทั่วโลก
- การต่อรองราคายา : ผู้ผลิตยาอาจเผชิญแรงกดดันจากภาครัฐ ภาคประชาชน และบริษัทประกันในการเจรจาขอปรับลดราคายาเพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งแรงกดดันด้านราคาขายจะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัท